แพทย์แนะ! “มะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ” ยังไม่รู้สาเหตุ พร้อมเตือนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง
วันที่ 23 กันยายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ศุภฤกษ์ วิจารณาญาณ เจ้าของ เพจหมอโอ๊ค DoctorSixpack ได้เปิดเผยถึงอาการโรคมะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ ที่คร่าชีวิตดารานักแสดงหนุ่ม อ๋อม อรรคพันธ์ ในวัย 39 ปี รายละเอียดระบุว่า
“หมอโอ๊คและทีมงานขอแสดงความเสียใจ กับการจากไปของพระเอกหนุ่มคุณ “อ๋อม อรรคพันธ์” และ ครอบครังด้วยครับ หลังป่วยมะเร็งกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นเรื่องช็อกวงการบันเทิง โดยอาการป่วยของพระเอกหนุ่มป่วยเป็นมะเร็ง มีก้อนเนื้อ บริเวณกล้ามเนื้อหัวใจ มีการคีโมไปแล้ว 5-6 ครั้ง ทั้งยังมีส่วนที่ลามไปบริเวณปอด 2 จุด และมีการผ่านตัดแล้วแต่ท้ายที่สุด มะเร็งก็ได้คร่าชีวิตคุณอ๋อม ไปในวันที่ 22 กันยายน 2567 หลังจากที่รักษารักษาตัวนานร่วมสองถึงสามปี
อย่างไรก็ตามคุณ อ๋อม ป่วยเป็นมะเร็งนั้นเป็นเพียงคนรอบข้างออกมาพูดนะครับ ยังไม่มีรายงานชัดเจนออกมาจากทีมแพทย์ และยังไม่มีข้อมูลชัดจากเจ้าตัวหรือคนใกล้ชิดครับ
อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดนะครับว่าสาเหตุของการเสียชีวิตคือโรคอะไรแบบฟันธง แต่หมอสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นโรค Cardiac rhabdomyosarcoma และ อีกโรคที่อาจเป็นได้ ก็คือ cardiac angiosarcoma ผมจึงอยากใข้พื้นที่นี้ ให้ความรู้เพื่อนๆเพิ่ม เกี่ยวกับโรคนี้ครับ โรคร้ายที่แม้จะพบได้น้อยมาก แต่ก็อันตรายถึงชีวิต นั่นคือ Cardiac Rhabdomyosarcoma หรือมะเร็งกล้ามเนื้อลายที่หัวใจ ปัญหา: คุณเคยรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ หัวใจเต้นแรงโดยไม่มีสาเหตุ หรือมีอาการบวมตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุไหม? นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ Cardiac Rhabdomyosarcoma ที่เราไม่ควรมองข้าม!
Cardiac Rhabdomyosarcoma คืออะไร?
เพื่อนๆ ครับ Cardiac Rhabdomyosarcoma เป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงที่เกิดในกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นเนื้องอกปฐมภูมิของหัวใจที่พบได้น้อยมาก แต่มีความรุนแรงสูง
โรคนี้สามารถเกิดได้ในทุกวัย แต่มักพบในเด็กและวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่ การศึกษาพบว่า Cardiac Rhabdomyosarcoma คิดเป็นน้อยกว่า 0.1% ของเนื้องอกหัวใจทั้งหมด (อ้างอิง: Burke et al., Human Pathology, 2016)
ปัจจัยเสี่ยง
แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของ Cardiac Rhabdomyosarcoma ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยง ได้แก่
1. พันธุกรรม: บางครอบครัวมียีนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้
2. ความผิดปกติแต่กำเนิด: เช่น กลุ่มอาการ Li-Fraumeni
3. การได้รับรังสีบริเวณทรวงอก: อาจเพิ่มความเสี่ยงในระยะยาว
4. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: อาจเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งหลายชนิด รวมถึง Cardiac Rhabdomyosarcoma
5. สารพิษบางชนิด: การสัมผัสสารเคมีบางประเภทอาจเพิ่มความเสี่ยง
การศึกษาพบว่า ประมาณ 10% ของผู้ป่วย Cardiac Rhabdomyosarcoma มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม (อ้างอิง: Malkin et al., New England Journal of Medicine, 2011)
อาการและสัญญาณเตือน
เพื่อนๆ ครับ อาการของ Cardiac Rhabdomyosarcoma อาจคล้ายกับโรคหัวใจอื่นๆ แต่สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตมีดังนี้:
1. เหนื่อยง่ายผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อออกแรงเพียงเล็กน้อย
2. หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือ รู้สึกใจสั่น
3. หายใจลำบาก โดยเฉพาะเวลานอนราบ
4. อาการบวมที่ขาหรือข้อเท้า
5. เจ็บหน้าอกหรือรู้สึกแน่นหน้าอก
6. อาการคล้ายเป็นลม หรือหมดสติ
การศึกษาพบว่า 80% ของผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการเหนื่อยง่ายและหายใจลำบาก (อ้างอิง: Castillo et al., Journal of Thoracic Oncology, 2018)
การวินิจฉัย
หากสงสัยว่าอาจเป็น Cardiac Rhabdomyosarcoma แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยดังนี้:
1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการฟังเสียงหัวใจ
2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG)
3. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram)
4. การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสีคอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
5. การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
การวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำสามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาได้ถึง 50% ในผู้ป่วยระยะแรก (อ้างอิง: Ferrari et al., European Journal of Cancer, 2017)
การรักษา
การรักษา Cardiac Rhabdomyosarcoma มักใช้วิธีผสมผสาน ประกอบด้วย:
1. การผ่าตัดเพื่อนำเนื้องอกออก (หากทำได้)
2. เคมีบำบัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
3. รังสีรักษา เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
4. การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy)
5. การปลูกถ่ายหัวใจ ในกรณีที่จำเป็น แต่มีความสำเร็จอาจไม่มากนัก
การศึกษาล่าสุดพบว่า การรักษาแบบผสมผสานสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิต 2-3 ปี ได้ถึง 60% ในผู้ป่วยบางกลุ่ม (อ้างอิง: Raney et al., Pediatric Blood & Cancer, 2019)
การลดความเสี่ยง
แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกัน Cardiac Rhabdomyosarcoma ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตรายโดยไม่จำเป็น
3. ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะการตรวจหัวใจ
4. สังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์ทันทีหากมีข้อสงสัย
5. หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองเพิ่มเติม
การศึกษาพบว่า การดูแลสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจหลายชนิดได้ถึง 30% (อ้างอิง: American Heart Association, Circulation, 2020)
สุดท้ายนี้ หมอโอ๊คอยากให้เพื่อนๆ ตระหนักว่า แม้ Cardiac Rhabdomyosarcoma จะพบได้น้อยมาก แต่การรู้จักและเข้าใจโรคนี้ก็สำคัญ เพราะการสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์แต่เนิ่นๆ อาจช่วยชีวิตได้ครับ”